วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

HONDA NEW CITY

HONDA NEW CITY
พุ่งทะยานสู่ความเป็นที่หนึ่ง
ในช่วงเวลานี้คงต้องยอมรับความร้อนแรงของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ เพราะนอกจากการเปิดตัวจะสร้างความฮือฮาให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ตัวเลข ยอดการจัดจำหน่ายนั้น ยังสร้างความชื่นฉ่ำหัวใจให้กับบริษัทฮอนด้าฯ เป็นอย่างมาก เพราะถือได้ว่า ฮอนด้า ซิตี้ ได้สร้างปรากฏ การณ์ใหม่ ของตัวเลขยอดจองที่สร้างสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยมียอดจองสูงถึง 8,000 คัน ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งทุบสถิติสูงสุดเดิม ของฮอนด้า ซีวิค ซึ่งทำไว้ที่ 6,000 คัน ตั้งแต่เมื่อปี 48 และถือว่าสูงเกินเป้าหมายที่ทางฮอนด้าได้วางไว้ จึงนับว่าฮอนด้า ซิตี้ ตัวนี้นั้นเป็น รถที่น่าจับตามอง อย่างมากในยุคเศรษฐกิจแปลกประหลาดอย่างนี้

มามาดใหม่ ไฉไลกว่าเดิม...
หลังจากพลาดท่าเสียทีกับซิตี้ตัวก่อนนี้ ที่รูปร่างหน้าตาไม่ค่อยโดนใจกันเท่าไหร่ แต่การกลับมาเที่ยวนี้ถือว่าทางฮอนด้าได้แก้โจทย์ ต่างๆ ได้แบบสวยงาม รูปทรงของการกลับมาเที่ยวนี้ถือว่า "โดน" เพราะเท่าที่ได้ยินจากคนทั่วไปและจากกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง กับวงการ รถยนต์เอง ก็ถือว่าเสียงชื่นชมออกมาดังมากมาย ด้วยแนวคิดของรูปทรงจากท่าการยิงธนูของทีมวิศวกรของฮอนด้า ด้านหน้าดูออกแนว สุขุมดุดัน ด้าน ท้ายดูออกแนวคล้ายรถในหลายรุ่น แต่เสียงส่วนใหญ่เค้าว่าคล้าย BMW ซีรีส์ 3 แต่ว่าจะเหมือนหรือคล้ายใครก็ตาม ถือได้
ส่วนเมื่อเปิดประตูเข้าไปดูภายในแล้วนั้น เริ่มต้นจากตำแหน่งด้านคนขับ เมื่อลองเข้าไปนั่งก็รู้สึกถึงความสบายของเบาะนั่งทรงกึ่ง สปอร์ต ที่ออกแนวกระชับตัว แต่ไม่อึดอัดและยังสามารถปรับระดับสูง-ต่ำ ได้อีกด้วย ส่วนเรือนไมล์ก็เป็นมาตรวัดเรืองแสง ที่มาพร้อมกับ ช่องจอดิจิตอล ที่แสดงถึงอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในขณะที่ขับขี่และโดยค่าเฉลี่ย รวมไปถึงการประมาณระยะทาง ที่สามารถจะวิ่งได้ จากปริมาณน้ำมันที่ยังเหลืออยู่ในถัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถคำนวณวิธีการขับรถ ที่จะทำให้มีการใช้ เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ และสามารถคำนวณการเติมน้ำมันครั้งต่อไปอย่างคร่าวๆ ได้ด้วย ส่วนพวงมาลัยก็มีรูปทรงที่ดูเป็น เอกลักษณ์ของทางฮอนด้าเองที่ตัววงพวงมาลัยก็มีสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และ Paddle shift เพื่อไว้ใช้เปลี่ยนจังหวะเกียร์โดย ไม่ต้องละมือออกจากพวงมาลัย โดยแป้นด้าน ขวาจะมีไว้สำหรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้สูงขึ้น ส่วนแป้นด้านซ้ายจะมีไว้สำหรับเปลี่ยน ตำแหน่งเกียร์ให้ต่ำลง ซึ่งนับว่าให้ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยดีสำหรับการใช้งาน แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เคยใช้งาน ระบบ Paddle shift นี้เลยก็ได้ เพราะจริงๆแค่เข้าเกียร์แล้ว เหยียบคันเร่ง รถมันพาเราไปไหนต่อไหนได้แบบสบายๆ อยู่แล้ว และสิ่งที่ดี อีกอย่างคือ พวงมาลัยที่สามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ซึ่งจะทำ ให้สามารถปรับตำแหน่งของพวงมาลัยให้อยู่ในจุด ที่เหมาะกับคนขับ ได้มากที่สุด ซึ่งดีกว่ารถแบบทั่วๆไปที่ปรับได้แค่
ตรงคอนโซลกลางจะเป็นที่อยู่ของเครื่องเสียงและระบบปรับอากาศ ต้องถือว่าฮอนด้ามีความกล้ามากที่จะเป็นผู้นำ ในการที่จะทำการ เปลี่ยน แปลง โดยเครื่องเสียงติดรถยนต์โดยทั่วไปในสมัยนี้จะเป็นชุดเครื่องเล่นแบบ CD แต่ในซิตี้ ใหม่ นี้กลับให้มาเป็นที่เชื่อมต่อผ่าน สำหรับช่อง USB เพียงอย่างเดียว ซึ่งที่เชื่อมต่อนี้สามารถรองรับการเชื่อมต่อของ MP3 และ iPod ได้อย่างโดยตรงอีกด้วย ซึ่งก็นับว่า เข้ากับยุคสมัยนี้ ซึ่งถือว่าอุปกรณ์เชื่อมต่อมักมีขนาดเล็ก ความจุเยอะ และที่สำคัญ พกพาได้อย่างสะดวก
ภายในนั้น นอกจากความสวยงามที่เห็นได้แล้ว ความโอ่โถงภายในห้องโดยสารยังเป็นสิ่งที่ให้ความประทับใจแก่ทีมงานได้เป็นอย่างดี พื้นที่วางขาสามารถรองรับผู้โดยสารที่สูงเกิน 175 ซม. ได้อย่างไม่ลำบาก แถมเบาะหลังยังทำเท่แบบสารพัดประโยชน์ โดยใต้เบาะ ยังเป็นพื้น ที่ที่ทำไว้เพื่อเอาใจคุณผู้หญิงเป็นพิเศษ คือจะมีพื้นที่ที่คุณผู้หญิงจะสามารถเอารองเท้าคู่สวยกับร่มคันเก่งเก็บไว้ใต้เบาะได้ อย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อย ส่วนพนักพิงหลังก็ยังสามารถปรับเอนให้ความสบายแก่ผู้โดยสารได้อีก จึงต้องถือว่าฮอนด้า ซิตี้ ตัวใหม่นี้ ได้ใส่ใจในรายละเอียดที่ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้จริงๆ
สมรรถนะเหมาะกับยุคสมัย
หัวใจหลักที่ทำหน้าที่เป็นพลังในการขับเคลื่อนของรถคันนี้นั่นก็คือ เครื่องยนต์แบบซิงเกิล โอเวอร์เฮด แคมชาฟท์ (SOHC) ที่มา พร้อมกับ ความไฮเทคที่สร้างชื่อประจำตระกูล นั่นก็คือระบบ i-VTEC ส่วนท่อนล่างของเครื่องยนต์นั้นจะมีลูกสูบไซส์ขนาด 73 มิลลิเมตร อยู่ 4 ลูก พร้อมกับระยะช่วงชักที่ 89.4 มิลลิเมตร ซึ่งบวก ลบ คูณ หาร กันแล้ว จะได้ปริมาตรความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 1,497 ซี.ซี. การฉีดจ่ายน้ำมัน เชื้อเพลิงซึ่งเป็นอาหารของเครื่องยนต์นั้น ก็ยังเป็นระบบหัวฉีดมัลติพอยต์แบบ PGM-FI ซึ่งส่วนผสมทั้งหมด ที่กล่าวมาก็จะทำให้เครื่องยนต์ ตัวนี้สามารถสร้างกำลังได้สูงสุดอยู่ที่ 120 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดจะอยู่ที่ 14.8 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที ส่วนระบบส่ง กำลังที่จะทำหน้าที่ผสานกับสมรรถนะเครื่องยนต์นั้น จะเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 จังหวะ ที่นำมาแทนเกียร์ CVT ตัวเก่า โดยมีการ ปรับอัตราทดเกียร์ใหม่ให้ต่ำลงในช่วงเกียร์ 1-4 ส่วนในตำแหน่งเกียร์ 5 นั้น จะเป็นโอเวอร์ ไดร์ฟมาลดรอบของเครื่องยนต์เพื่อความประหยัด น้ำมัน
เมื่อลองขับใช้งานในเมืองกรุงในรูปแบบการจราจรที่รู้ๆ กันอยู่ ฮอนด้า ซิตี้ ตัวนี้ก็ให้ความคล่องตัวได้ดี รูปแบบการตอบสนองของ กำลัง เครื่องยนต์และจังหวะการทำงานของเกียร์นั้น มีการผสมผสานกันได้ลงตัว ส่วนหนึ่งของความฉับไวสำหรับการใช้งานในเมือง นั้นก็คงต้อง ยกประโยชน์ให้กับระบบคันเร่งไฟฟ้า DBW (Drive By Wire) ซึ่งการเซ็ตรถซิตี้ตัวนี้ ทางวิศวกรจากทีมฮอนด้าก็ได้บอก ไว้แล้วว่าตั้งใจ ทำมาเพื่อการตอบสนองสำหรับการใช้งานในเมือง แต่เมื่อต้องเดินทางออกต่างจังหวัด กำลังเครื่องยนต์ก็ถือว่ามีมาให้ใช้ อย่างเพียงพอในการ ใช้งาน การเร่งแซงรถบรรทุกคันใหญ่ที่วิ่งขวางทางอยู่ข้างหน้าก็ทำได้อย่างไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสียวมาก (แต่ก็อย่า ไปคาดหวังว่าจะต้อง ปรู๊ดปร๊าดเป็นรถสปอร์ตสุดแรงนะ) โดยมีอัตราเร่งแซงจากความเร็ว 80-100 อยู่ที่ 4.6 วินาที แบบมีผู้โดยสารนั่ง กันเต็มคัน
มาดูตัวเลขกันในช่วงอัตราการทดสอบต่างๆ โดยรถฮอนด้า ซิตี้ ที่ได้มาคันนี้มีระยะที่ใช้งานไปแล้วประมาณเกือบหกพันกิโลเมตร และใน ช่วงการจับตัวเลขทดสอบมีทีมงานร่วมโดยสารไปอีก 3 คน (ไม่รวมคนขับ) พร้อมสัมภาระอีกหนึ่งชุด และปริมาณน้ำมันที่เต็มถัง ซึ่งส่วนที่ เป็นน้ำหนักทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นตัวแปรอย่างหนึ่งในการทดสอบที่จะต้องบอกกันไว้ก่อน เมื่อแจ้งให้ทราบแล้วก็มาดูตัวเลขจาก การทดสอบ กันดี กว่า โดย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จะใช้เวลาไป 15.7 วินาที ส่วนถ้าวิ่งควอเตอร์ไมล์ (402 เมตร) จะใช้เวลาไป 20.3 วินาที กับความเร็ว เข้าเส้นที่ 114.9 กม./ชม. ซึ่งถ้าน้ำหนักบรรทุกน้อยกว่านี้ ตัวเลขที่ออกมาคงดูดีกว่าพอสมควร
ส่วนความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ จะทำการจับตัวเลขที่ 6,500 รอบ ใน 3 เกียร์แรก (ซึ่งจริงๆ สามารถลากรอบไปถึง 7,000 รอบ ได้อย่าง สบาย ) โดยเกียร์ 1 จะทำความเร็วได้ 50 กม./ชม. เกียร์ 2 จะได้ความเร็ว 100 กม./ชม. และในเกียร์ 3 จะได้ความเร็วอยู่ที่ 150 กม./ชม. ส่วนรอบเครื่องในการเดินทางสัญจรทั่วไป โดยใช้ตำแหน่งเกียร์5 ซึ่งเป็นเกียร์โอเวอร์ไดร์ฟ ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้รอบเครื่องเพียง แค่ 2,000 รอบ/นาที ส่วนความเร็วตามกฎหมายกำหนดที่ 120 กม./ชม รอบเครื่องจะอยู่ที่ 2,500 รอบ/นาที ซึ่งดูแล้วน่าจะลดภาระการ ทำงานของเครื่องยนต์ได้ดีทีเดียว และอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงที่ยังเป็นที่น่าสนใจอย่างมากในยุคสมัยนี้ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ราคาน้ำมันจะลดลงมาให้ชื่นใจ แต่อนาคตต่อไป ภายภาคหน้าก็ยังไม่แน่ว่าราคาจะทะลุไปถึงไหน จะมีการปั่นราคาแบบสับขาหลอกให้ปั่นป่วนเศรษฐกิจโลกอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เรื่องการลด การใช้พลังงานก็ยังเป็นเรื่องที่น่าให้ความสนใจกันอยู่ ส่วนเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมันของ ฮอนด้า ซิตี้ ตัวนี้จะมีอัตราการ บริโภคน้ำมันเบนซิน ในเมืองเฉลี่ยตกอยู่ที่ 10.5 กม./ลิตร และนอกเมืองจะเฉลี่ยอยู่ที่ 13.2 กม./ลิตร

เอาใจตามสไตล์วัยรุ่น
ส่วนเรื่องของช่วงล่างนั้น ในด้านหน้าจะเป็นแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนในด้านหลังจะเป็นแบบทอร์ชั่น บีมแบบ H-shape พร้อมเหล็กกันโคลง จากนิสัยการทำงานของระบบช่วงล่างของค่ายฮอนด้านั้น มักจะออกมาในแนวสปอร์ตแบบเอาใจ กลุ่ม วัยรุ่นอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อมีการใช้งานในเมือง แล้วเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดเดียวกัน ก็จะรู้สึกได้ว่าช่วงล่างของซิตี้นั้น จะออกมา ในแนว แข็งกระด้างกว่าเพื่อน ซึ่งก็จะมีข้อดีในแง่ของเรื่องการทรงตัวและการเกาะถนนที่จะออกแนวสปอร์ตกว่า แต่ก็คงไม่เป็นที่ถูกใจ ของกลุ่มคนที่ ชอบความนิ่มนวลแบบใช้ความเร็วต่ำ ซึ่งช่วงล่างแนวสปอร์ตเอาใจวัยรุ่นของซิตี้แบบนี้ สามารถให้ความมั่นใจได้สูงในทุก ช่วงความเร็ว แต่ ด้วยน้ำหนักตัวของรถที่เบา และน้ำหนักของพวงมาลัยที่เป็นเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (EPS) นั้น ดูจะออกแบบมาเพื่อให้ ความเบาสบายสำหรับ การใช้งานในเมือง ซึ่งมันจะทำให้รู้สึกเบาไปด้วยในยามที่ต้องใช้ความเร็วสูง (โดยอาจจะทำให้ใครบางคน ขาดความมั่นใจได้) แต่ผู้ขับขี่ก็ยัง รับรู้ได้ถึงความนิ่งของช่วงล่างที่ยังให้ความมั่นใจได้ดีอยู่ ถึงแม้ว่าบางช่วงของการทดสอบจะใช้ ความเร็วที่เกิน 190 กม./ชม. ไปอีกนิดหน่อยก็ตาม
ในเรื่องของระบบเบรกนั้น ทางฮอนด้า ซิตี้ ตัวนี้ก็ได้ให้ความใส่ใจมาเป็นอย่างดี โดยระบบเบรกด้านหน้าจะเป็นแบบจานที่มีช่อง ระบายความร้อน ส่วนในด้านหลังจะเป็นจานแบบธรรมดา โดยจะมีระบบไฮเทคมาช่วยเหลือในด้านความปลอดภัย ทั้งระบบป้องกัน ล้อล็อกอย่าง ABS ที่มาพร้อมกับระบบกระจายแรงเบรกอย่างระบบ EBD และยังแถมพ่วงระบบเสริมแรงเบรก (BA) มาให้ใช้กันอีก (แต่ในรุ่น S จะไม่มีระบบพวกนี้ แถมด้านหลังจะเป็นดรัมเบรกด้วย) โดยจากการที่ลองแล้วเจอสถานการณ์บนท้องถนนในรูปแบบต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่า ระบบเบรกในซิตี้ตัวนี้ค่อนข้างให้ความมั่นใจได้ดี ซึ่งถ้าอยากได้ความมั่นใจมากกว่านี้ก็คงต้องเปลี่ยนยางที่มีขนาดหน้า กว้างกว่าเดิม เพราะ ตอนนี้รู้สึกว่าระบบเบรกมันจะดีกว่ายางติดรถไปพอสมควร ส่วนตัวเลขจากเครื่องมือทดสอบเมื่อลองกระทืบเบรก ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้เวลาในการลดความเร็วลงไปจนหยุดนิ่งสนิทอยู่ที่ 3.8 วินาที กับระยะทางที่เสียไป 49.1 เมตร
ความร้อนระอุที่ต้องจับตามอง
จุดด้อยที่พบได้จากฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ นี้ก็คงจะเป็นเรื่องเสียงจากช่วงล่างที่มันจะก้องดังเข้ามาในห้องโดยสารให้รู้สึกได้พอสมควร ไม่ว่า ตอนไปวิ่งเส้นทางที่พื้นผิวขุขระ ข้ามลูกระนาด หรือเหยียบกรวดเหยียบหิน ซึ่งเสียงก้องจากช่วงล่างแบบนี้ มันอาจจะดูเหมือน เอกลักษณ์ ของค่ายฮอนด้าไปแล้ว เพราะในตัวรุ่นพี่อย่างซีวิคเองก็เป็น และอีกอย่างก็คงเป็นเรื่องของทัศนวิสัยทางด้านหลังของตัวรถ ซึ่งมันทำให้รู้สึก ทึบไปบ้าง บางครั้งอาจจะทำให้รู้สึกว่าทัศนวิสัยในการมองรู้สึกไม่เคลียร์เท่าไหร่ แต่ด้วยสมรรถนะโดยรวมที่มีให้และ ความสดใหม่จาก ฮอนด้า ซิตี้ ตัวนี้ ก็ถือได้ว่า ทางฮอนด้าได้ทำรถมาถูกทางและโดนใจลูกค้าในกลุ่มตลาดรถยนต์ขนาดเล็กแบบนี้ ซึ่งคู่แข่ง ในตลาดที่เป็น แชมป์ เก่าก็คงต้องเร่งแก้เกมเพื่อป้องกันพายุหมัดของเจ้าหนูซิตี้จาก ค่ายฮอนด้าที่กำลังร้อนแรงอย่างมากมาย ในตอนนี้...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น